การทำการตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมีความสำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงลูกค้าคือการทำ SEO (Search Engine Optimization) และ SEM (Search Engine Marketing) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือค้นหา เช่น Google เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ของธุรกิจ
ทั้ง SEO และ SEM มีเป้าหมายหลักเดียวกันในการเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์และเพิ่มการเข้าชม แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนสับสนคือความแตกต่างระหว่างทั้งสองวิธี นอกจากความแตกต่างที่ชัดเจน เช่น SEO เป็นการทำงานแบบธรรมชาติ (Organic) ในขณะที่ SEM เป็นการใช้เงินเพื่อการโฆษณา ทั้งสองยังมี ความเหมือน ที่สำคัญ ซึ่งในบทความนี้เราจะอธิบายให้คุณเห็นถึงความเหมือนกันระหว่าง SEO และ SEM
1. การใช้คีย์เวิร์ดเป็นหลัก
ทั้ง SEO และ SEM ต่างต้องการ การวิจัยคีย์เวิร์ด เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์หรือโฆษณาของคุณแสดงต่อกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ การใช้คีย์เวิร์ดคือการหาคำหรือวลีที่ผู้คนค้นหาบ่อยที่สุดในเครื่องมือค้นหา และนำมาใช้ในการพัฒนาเนื้อหาเว็บไซต์หรือการตั้งค่าโฆษณา
ในกรณีของ SEO คีย์เวิร์ดจะถูกนำมาใช้ในเนื้อหา โครงสร้าง URL แท็ก Meta และส่วนอื่นๆ ของเว็บไซต์ เพื่อทำให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้นและแสดงผลเมื่อมีการค้นหาที่เกี่ยวข้อง
สำหรับ SEM การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมมีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากการทำโฆษณาแบบ PPC (Pay-Per-Click) จะเกี่ยวข้องกับการเสนอราคาเพื่อให้โฆษณาของคุณแสดงผลสำหรับคำค้นหาที่ต้องการ ดังนั้นการวิจัยและการเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในการทำทั้ง SEO และ SEM
2. เพิ่มการมองเห็นในเครื่องมือค้นหา
ทั้ง SEO และ SEM มีเป้าหมายหลักในการเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์บนหน้าผลลัพธ์การค้นหา (Search Engine Results Page: SERP) ซึ่งความมุ่งหมายสุดท้ายคือการให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏต่อหน้ากลุ่มเป้าหมายเมื่อพวกเขาค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณนำเสนอ
SEO เน้นการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในตำแหน่งธรรมชาติ (organic) โดยไม่ต้องจ่ายเงิน และใช้การปรับปรุงเนื้อหาและการเชื่อมโยงลิงก์ที่มีคุณภาพเพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความสำคัญสำหรับเครื่องมือค้นหา
ส่วน SEM มุ่งเน้นการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏเป็นโฆษณาที่แสดงในตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุดในผลการค้นหา โดยเฉพาะบริเวณด้านบนของหน้าผลลัพธ์ ซึ่งสามารถเห็นผลได้รวดเร็วเพียงแค่ตั้งค่าโฆษณาและเสนอราคาสำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
3. เน้นเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์
ทั้ง SEO และ SEM มีเป้าหมายเดียวกันคือ การเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ (Traffic) ไม่ว่าจะเป็นการเข้าชมแบบธรรมชาติหรือผ่านการโฆษณา ทั้งสองวิธีนี้ต้องการให้ผู้ใช้คลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้าหรือผู้ติดตาม
ในกรณีของ SEO การเพิ่มปริมาณการเข้าชมเกิดจากการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและมีโอกาสที่จะได้รับการคลิกมากขึ้น ในขณะที่ SEM จะใช้การโฆษณาเพื่อดึงดูดการคลิกอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณการเข้าชมได้ทันที
4. การวิเคราะห์และวัดผล
อีกความเหมือนที่ชัดเจนระหว่าง SEO และ SEM คือทั้งสองต้องการ การวิเคราะห์และวัดผล อย่างต่อเนื่อง การใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics หรือ Google Search Console เพื่อดูผลลัพธ์ของการทำงานเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งสองกลยุทธ์ คุณต้องตรวจสอบว่าการปรับปรุง SEO หรือแคมเปญ SEM ของคุณส่งผลต่อการเข้าชมและการแปลง (Conversion) อย่างไร
SEO จะต้องมีการติดตามข้อมูลเช่น การจัดอันดับคีย์เวิร์ด จำนวนคลิกและการเข้าชม รวมถึงการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพต่อไป
สำหรับ SEM การวัดผลที่สำคัญได้แก่ อัตราคลิก (Click-Through Rate: CTR), ค่าใช้จ่ายต่อคลิก (Cost-Per-Click: CPC) และผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment: ROI) ซึ่งช่วยให้คุณทราบว่าการโฆษณาของคุณประสบความสำเร็จหรือไม่
5. มุ่งเน้นการเพิ่ม Conversion
ทั้ง SEO และ SEM ไม่ได้เน้นเพียงแค่การดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นไปที่การ เพิ่ม Conversion เช่น การขาย การสมัครสมาชิก หรือการลงทะเบียน
สำหรับ SEO คุณต้องสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ผู้ใช้ที่เข้ามาผ่านการค้นหาธรรมชาติมีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้า ส่วน SEM นั้น คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะและออกแบบโฆษณาที่ตรงกับความต้องการของพวกเขาได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
แม้ว่า SEO และ SEM จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของวิธีการทำงาน แต่ทั้งสองมีกลยุทธ์ที่มีความเหมือนกันมาก เช่น การใช้คีย์เวิร์ด การเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ การวิเคราะห์ผลลัพธ์ และการมุ่งเน้นการเพิ่ม Conversion ดังนั้น เมื่อทำการตลาดออนไลน์ คุณสามารถใช้ทั้ง SEO และ SEM ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเพิ่มการมองเห็นและสร้างการเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพในระยะสั้นและระยะย